แถลงคดีลักโทรศัพท์มือถือยี่ห้อดัง
สน.บางซื่อ ของกลางกว่า 180 เครื่อง.
วันจันทร์ที่
27 พย.60 เวลา14.00 น.ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล
โดยพลตำรวจโท
ชาญเทพ เสสะเวช รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมด้วย พลตำรวจตรี สมพงษ์
ชิงดวง รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และ พันตำรวจเอก เศกสิทธิ์ สุภาอ้วน ผู้กำกับ
สน.บางซื่อ แถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาคดีลักทรัพย์โทรศัพท์มือถือยี่ห้องดัง
โดยปลอมตัวเป็นคนอื่น ผู้ต้องหาชื่อนาย เจนวิชญ์ หรือเอก อยู่อินทร์ไกร อายุ 31ปี
อยู่บ้านเลขที่ 334 ซ.พหลโยธิน 67 ถ.พหลโยธิน แขวงอนุเสาวรีย์ เขตบางเขน
จ.กรุงเทพฯ ตามหมายจับศาลอาญาเลขที่
2534/2560..
สืบเนื่องจาก
เมื่อวันที่16 พย.60 เวลาประมาณ 12.30น.เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางซื่อได้รับแจ้งเหตุ
จากผู้เสียหายชื่อ นายพรเทพ โลมรัตนา ว่าได้มีคนร้ายแอบอ้างเป็นตัวแทนของบริษัท
อยุธยา อลิอันซ์ จำกัด โดยอ้างตัวว่าเป็น นายกิตติชัย นวจินดา
และได้สั่งซื้อโทรศัพท์มือถือยี่ห้อ ซัมซุง รุ่นโน๊ต8 จำนวน 215 เครื่อง
เพื่อให้นำมาส่ง ราคาเครื่องละ 30,200 บาท
รวมเป็นเงิน 6,493,000 บาท
และได้ฝากให้นำของไว้ในพื้นที่ บริษัท อยุธยา อลิอันซ์ จำกัด และผู้ต้องหาได้พานาย
พรเทพฯ(ผู้เสียหาย) ขึ้นไปรอเงินที่ชั้น 25 ของอาคารดั่งกล่าว
จากนั้นผู้ต้องหาได้ฉวยโอกาศ แอบลงไปขโมยโทรศัพท์ที่ชั้น 22 จำนวน215เครื่อง แล้วขึ้นรถแท็กซี่หลบหนีไป
ด้าน
นายพรเทพ จึงเข้าไปขอตรวจสอบ ใน บริษัท อยุธยา อลิอันซ์ โดยสอบถามหานาย กิตติชัย
นวจินดา ปรากฎว่าไม่มีบุคคลชื่อนี้เกี่ยวข้องในบริษัทดั่งกล่าว และทางบริษัท
ไม่ได้มีการสั่งซื้อโทรศัพท์แต่อย่างใด ต่อมาจึงทราบว่าผู้ต้องหาที่ก่อเหตุ ชื่อว่า
นายเจนวิชญ์ หรือเอก อินทร์ไกร ทางพนักงานสอบสวนจึงรวบรวมพยานหลักฐาน
ขอศาลออกหมายจับ และได้ทราบว่าผู้ต้องหาได้นำโทรศัพท์ไปขายที่มาบุญครอง จำนวน 20
เครื่อง ที่ร้าน A (นามสมมุติ) และทางร้านA ได้นำไปขายตามร้านต่างๆในห้าง
จนกระทั่งเมื่อวันที่
26 พย.60 เวลา 06.00น. ฝ่ายสืบสวน ได้ทราบว่า นาย เจนวิชญ์ หรือเอก (ผู้ต้องหา)
ได้เข้ามาพักที่บริเวณ ห้อง107
โรงแรมฟอร์ยูอิน ถนนนครอินทร์ ต.บางขนุน อ.บางกรวย จ.นนทบุรี
จึงได้เข้าทำการยับกุมตัวผู้ต้องหาได้พร้อมของกลาง ดังนี้
1.โทรศัพท์มือถือ
ยี่ห้อ ซัมซุงโน๊ต8 จำนวน 195 เครื่อง
2.รถยนต์นั่งส่วนบุคคล
ยี่ห้อ โตโยต้า รุ่นวีออส สีขาว ทะเบียน
ขอ-5792 เชียงใหม่
(โดยเป็นรถเช่าจากบริษัทเช่าสนามบินเชียงใหม่
เพื่อไว้นำโทรศัพท์มือถือไปขายและไว้เพื่อหลบหนีการจับกุม
3.สร้อยคอทองคำหนัก
2บาทพร้อมพระเลี่ยมทอง(หลวงปู่ทวด) ที่ได้จากการขายโทรศัพท์นำมาซื้อ
4.
แหวนทองคำหนัก 1บาท 1วง ราคา 21,000 บาท
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้สอบถามโดยผู้ต้องหาได้ให้การรับสารภาพว่า
หลังจากได้ลักโทรศัพท์ดั่งกล่าวไปแล้วได้นำ ไปขายที่ร้านแฮปปี้โฟน จำนวน 20
เครื่อง ในราคา 24,500 บาท ได้เงินสดมา จำนวน 499,000บาท และเดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่เพื่อเช่ารถเป็นเวลา
1เดือน เพื่อใช้ในการหลบหนีการจับกุมและตระเวนขายโทรศัพท์มือถือที่ลักมา
โดยโทรศัพท์มือถือที่ลักมาทั้งหมด
มี215เครื่อง เจ้าหน้าที่ได้ตามคืนมาได้ จำนวน 195 เครื่อง.....
ด้านเจ้าหน้าที่ได้สืบพบว่าประวัติผู้ต้องหาเคยกระทำความผิด
ดั่งนี้...
1.เมื่อวันที่
8 มิถุนายน 2554 เคยถูกจับในฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตท้องที่
สน.บางเขน
2.เมื่อวันที่
11 มีนาคม 2559 เคยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ท้องที่ สภ.คูคต
จึงถูกดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
*********************************************************************************
ทลายเครือข่ายกลุ่มบุคคลต่างด้าวสวมบัตรประชาชนเป็นคนไทย
ตามนโยบายของรัฐบาลให้หน่วยงานราชการร่วมบูรณาการกำลังในการปราบปรามกลุ่มบริษัท
นำเที่ยวผิดกฎหมายหรือกลุ่มบริษัทนำเที่ยวที่ประกอบการในลักษณะนอมินี
รวมถึงกลุ่มบุคคลต่างด้าวสวมบัตรประชาชนเป็นคนไทย มาประกอบธุรกิจนำเที่ยว
ในลักษณะทัวร์ต่ำกว่าทุนหรือทัวร์ศูนย์เหรียญ
อันจะทำให้ภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทยเสียหายซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและ
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.
สั่งการให้กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลอย่างเคร่งครัดและให้มีผลการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมนั้น
กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวร่วมกับกรมการปกครอง
กระทรวงมหาดไทย, ตำรวจภูธรภาค 6
และกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ เข้าสืบสวนสอบสวนกรณี
น.ส.สิริภัสสร์ มะแนะ อายุ 43 ปี
ซึ่งมีพฤติการณ์เป็นบุคคลต่างด้าวสวมบัตรประชาชนเป็นคนไทยมาประกอบธุรกิจนำเที่ยว
โดยเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท ไทยตงหม่ง อินเตอร์เนชั่นแนล ทราเวล กรุ๊ป (เออีซี)
จำกัด จากการสืบสวนสอบสวนได้ข้อมูลทราบว่า น.ส.สิริภัสสร์ มะแนะ
ได้ยื่นคำร้องขอมีบัตรประจำตัวประชาชนครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2545 ในชื่อเดิม “น.ส.นาคำ มะแนะ” พบว่ามีการปลอมแปลงหลักฐานต่างๆ
เพื่อใช้ในการสวมบัตรประชาชนเป็นคนไทยมากว่า 15 ปี ทำให้ น.ส.นาคำ มะแนะ
ตัวจริงที่ปัจจุบันพักอาศัยอยู่ที่ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่
ซึ่งยังคงถือบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยได้รับความเดือดร้อน จนต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถรวบรวมพยานหลักฐานและนำไปสู่การออกหมายจับ
น.ส.สิริภัสสร์ มะแนะ ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 2535/2560 ลงวันที่ 18 พฤศจิกายน 2560 ในความผิดฐาน “ยื่นคำขอมีบัตรโดยมิได้มีสัญชาติไทย
ด้วยการแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จปกปิดข้อความจริงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
และใช้หรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จหรือกระทำการเพื่อให้ตนเองมีรายการในทะเบียนบ้านหรือเอกสารการทะเบียนราษฎรโดยมิชอบ
และแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชน
หรือเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน
โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแด่ผู้อื่นหรือประชาชน”
ต่อมาภายใต้การอำนวยการของ
พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี รรท.ผบช.ทท., พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รรท.รอง.ผบช.ทท., พล.ต.ต.ประเสริฐ เงินยวง รรท.ผบก.ทท.1, พ.ต.อ.พนัญชัย ชื่นใจธรรม, พ.ต.อ.อาชยน ไกรทอง, พ.ต.อ.ศารุติ แขวงโสภา รอง ผบก.ทท.1 และ พ.ต.อ.นิธิธร จินตกานนท์ รอง ผบก.สปพ.
ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ทท.1
เร่งติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาตามหมายจับดังกล่าวมาดำเนินคดี จนนำไปสู่การจับกุมตัว
น.ส.สิริภัสสร์ มะแนะ อายุ 43 ปี ใช้หมายเลขประจำตัวประชาชน 8-6307-84059-45-4 ได้เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2560 เวลาประมาณ 08.10 น. สถานที่จับกุม หมู่บ้านเดอะแพลนท์
ซ.นวมินทร์ 86 แขวงรามอินทรา เขตคันนายาว
กรุงเทพมหานคร นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.โชคชัย ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ที่มา
: กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 1 กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น