ในประเทศ



สมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย (TSPCA) ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและมอบวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้าและเวชภัณฑ์สุนัขจรจัด วัดโพธิโสภาราม จ.ราชบุรี


******************************************************************************************************************************


 กรมศุลกากร ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ตรวจยึดงาช้าง จำนวน 4 กิ่ง 39 ท่อน น้ำหนักกว่า 116 กิโลกรัม และเกล็ดลิ่น จำนวน 15  กิโลกรัม ลักลอบนำเข้าจาก เมืองกินชาซา สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก มูลค่า 11,750,000 บาท
ตามที่ นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร มีนโยบายด้านการควบคุมทางศุลกากรและปกป้องสังคมอย่างเคร่งครัด จึงให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรสำนักสืบสวนและปราบปรามประจำท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและ
ท่าอากาศยานนานาชาติ เข้มงวดเป็นพิเศษในการสกัดกั้นป้องกันและปราบปรามขบวนการลักลอบค้าสัตว์ป่าและซากสัตว์ป่าสงวนข้ามชาติ ที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรหรือผ่านประเทศไทยทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและ
ท่าอากาศยานนานาชาติ ซึ่งมีแนวโน้มลักลอบสูงขึ้น ประกอบกับการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการงาช้าง แห่งประเทศไทย จึงได้สั่งการให้นายชัยยุทธ คำคุณ รองอธิบดี รักษาราชการที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการควบคุมทางศุลกากร นายสรศักดิ์ มีนะโตรี รองอธิบดี นายวรวุฒิ วิบูลย์ศิริชัย ผู้อำนวยการสำนักสืบสวนและปราบปราม 
นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรตรวจสินค้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 
นายพร้อมชาย สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้เชี่ยวชาญด้านการสืบสวนและปราบปราม นายเดชา วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการ
ส่วนสืบสวนปราบปราม 3  และนายเชาวน์ ตะกรุดเงิน ผู้อำนวยการส่วนควบคุมทางศุลกากร ดำเนินการวางแผนจับกุมกลุ่มขบวนการลักลอบค้าสัตว์ป่าและซากสัตว์ป่าสงวนข้ามชาติ ด้วยการบูรณาการกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายตามแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งประเทศไทย นั้น
วันนี้ (9 พฤศจิกายน 2560) เวลา 15.30 น. นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร 
พล.ต.อ. เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รอง ผบ.ตร. นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช 
และนายกิตติพงศ์ กิตติขจร รองผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สายปฏิบัติการ 1 ร่วมกันแถลงข่าวการตรวจยึดงาช้าง จำนวน 4 กิ่ง 39 ท่อน น้ำหนัก 116 กิโลกรัม และเกล็ดลิ่น จำนวน 15 กิโลกรัม ดังนี้
จากการวิเคราะห์ข้อมูลของเจ้าหน้าที่ศุลกากรพบว่า ขบวนการค้างาช้างจะลักลอบนำงาช้างเข้ามาในประเทศไทยในเที่ยวบินที่มาจากหรือผ่านประเทศในทวีปแอฟริกา ซึ่งเป็นเที่ยวบินที่มีความเสี่ยงสูง
ที่เครือข่ายลักลอบค้าสัตว์ป่าและพืชป่าใกล้สูญพันธุ์ โดยใช้วิธีการสำแดงชนิดสินค้าที่เห็นได้ว่าเป็นสินค้าประจำถิ่นในประเทศแถบแอฟริกา เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่จึงเฝ้าระวังสินค้าที่มีต้นทางจากประเทศกลุ่มเสี่ยง โดยเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2560 เจ้าหน้าที่ศุลกากรสำนักสืบสวนและปราบปราม และสำนักงานศุลกากรตรวจสินค้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้ตรวจสอบข้อมูลบัญชีสินค้าทางอากาศยาน (Manifest) โดยพบข้อมูลการนำเข้าที่มีความเสี่ยงในการลักลอบค้าสัตว์ป่าและพืชป่าใกล้สูญพันธุ์ นำเข้ามาทางสายการบินเตอกิซแอร์ไลน์ (Turkish Airlines) เที่ยวบินที่ TK064 ขนส่งจากต้นทางท่าอากาศยานกินชาซา (N'Djili International Airport or Kinshasa International Airport) เมืองกินชาซา สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ปลายทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ประเทศไทย สำแดงชนิดสินค้าเป็น Fish maws หรือกระเพาะปลา จำนวน 3 หีบห่อ น้ำหนักรวมประมาณ 120 กิโลกรัม เจ้าหน้าที่จึงได้อายัดสินค้าและตรวจสอบด้วยเครื่องเอกซเรย์ ผลปรากฏพบภาพวัตถุคล้ายงาช้าง เจ้าหน้าที่จึงรอผู้รับตราส่งมาปฏิบัติพิธีการทางศุลกากร      เพื่อเตรียมทำการจับกุม แต่ก็ไม่มีผู้ใดมาแจ้งขอดำเนินพิธีการทางศุลกากรแต่อย่างใด จากการสืบสวนพบว่า       การลักลอบนำเข้าในครั้งนี้ มีความเชื่อมโยงกับการลักลอบนำเข้างาช้าง จำนวน 1 กิ่ง 28 ท่อน ที่ถูกตรวจยึด    เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2560 และเป็นการใช้ชื่อ-ที่อยู่ปลอม เพื่อปกปิดอำพรางไม่ให้เจ้าหน้าที่ตรวจพบ
ดังนั้น เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2560 เจ้าหน้าที่ศุลกากรจึงร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง    เปิดตรวจสินค้า ซึ่งพบงาช้างจำนวน 4 กิ่ง 39 ท่อน น้ำหนักรวม 116 กิโลกรัม และเกล็ดลิ่น 15 กิโลกรัม    ซุกซ่อนมาในกล่องกระดาษสีน้ำตาลและห่อหุ้มด้วยพลาสติกใสอีกชั้นหนึ่ง กรณีดังกล่าวเป็นการลักลอบนำเข้างาช้างซึ่งเป็นสัตว์ป่า ซากของสัตว์ป่าหรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากซากของสัตว์ป่าชนิดที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด หรือนำผ่านซึ่งสัตว์ป่าสงวน สัตว์ป่าคุ้มครอง ซากของสัตว์ป่าสงวน ซากของสัตว์ป่าคุ้มครอง หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากซากของสัตว์ป่าดังกล่าว โดยไม่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ซึ่งการกระทำ





**********************************************************************************************************************


เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2560 เวลา 15.00 น. ที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ค่ายสิรินธร อ.ยะรัง จ.ปัตตานี พันเอกธนาวีร์ สุวรรณรัตน์ รองโฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เปิดเผยว่าจากกรณีเว็บไซต์ ผู้จัดการออนไลน์ และเฟสบุคเพจ “God Of War V.3เผยแพร่การหักเบี้ยเลี้ยงของทหารที่งมาปฏิบัติงานในพื้นที่ชายแดน


จากกรณีนี้ ที่เฟซบุ๊ค ใช้ชื่อเพจว่า“God Of War V.3ได้เปิดแพร่ภาพและข้อความ อ้างว่านำมาจาก เฟซบุ๊ค ส่วนตัวของเจ้าหน้าที่ทหาร ซึ่งเป็นพลทหาร ที่ปฏิบัติหน้าที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีการนำเสนอข้อความที่เป็นประเด็นบิดเบือนข้อความเท็จ โดยอ้างว่าทางส่วนราชการได้หักเงินเดือนจนเหลือแค่เดือนละ ๔๐๐ บาท ซึ่งไม่เพียงพอที่ส่งให้ครอบครัว พร้อมยังตำหนิผู้บังคับบัญชาในหน่วยงานว่าหักเงินเกินและจ่ายเงินไม่ตรงเวลา ซึ่งเว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ ได้นำภาพและข้อความของเฟซบุ๊ค ใช้ชื่อเพจว่า“God Of War V.3ไปเผยแพร่ ซึ่งเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง


จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่าไม่พบที่มาของเพจส่วนตัวของพลทหารที่กล่าวอ้าง
ขอชี้แจ้งเรื่องสิทธิพลทหาร ดังนี้ การปฏิบัติงาน ณ ที่ ตั้งปกติ ได้รับเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง และ ค่าครองชีพชั่วคราว รวมเป็นเงิน 10,000 บาท การปฏิบัติงานราชการสนาม ได้รับเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง ค่าครองชีพชั่วคราว ค่าเสี่ยงภัย และค่าเสบียง รวมเป็นเงิน 15,910 บาท การหักค่าใช้จ่าย

ค่าประกอบเลี้ยง หักเท่ากันตามระเบียบเพื่อประกอบเลี้ยงให้เป็นส่วนรวม เงินฝากส่วนตัวทหารขึ้นกับความสมัครใจของแต่ละคนโดยเปิดบัญชีธนาคารส่วนตัว (ถอนคืนเมื่อปลดประจำการ)
ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ร้านค้าสวัสดิการซึ่งหักไม่เท่ากันขึ้นกับแต่ละบุคคลจะจ่ายมากน้อยแค่ไหน
ตามที่สังคมออนไลน์เผยแพร่การหักเบี้ยเลี้ยงของทหารหารที่ลงมาปฏิบัติงานในพื้นที่ชายแดนภาคใต้นั้น แค่เป็นการหักค่าใช้จ่ายส่วนตัวปกติของกำลังพลจากเบี้ยเลี้ยงราชการสนาม เนื่องด้วยห้วงนี้เป็นต้นปีงบประมาณ ปี 2561 ระหว่างที่รอการอนุมัติสั่งจ่ายงบประมาณ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้ทดลองจ่ายเฉพาะเงินค่าเบี้ยเลี้ยงสนามให้กับกำลังพลไปก่อน ส่วนเงินอื่นๆ เมื่อได้รับอนุมัติสั่งจ่ายแล้ว หน่วยจะดำเนินการเบิกจ่ายให้แก่กำลังพลตามสิทธิที่ได้รับตามห้วงเวลาที่กำหนด
ผู้บังคับบัญชาทุกระดับได้ให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิกำลังพลมาโดยตลอด
จากกรณีดังกล่าว พลโทปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 และผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ได้สั่งการให้ทุกหน่วยดำเนินการ ดังนี้ ตรวจสอบการหักค่าใช้จ่ายและจ่ายเงินทหารอย่างใกล้ชิดสร้างความเข้าใจเรื่องสิทธิกำลังพลอย่างต่อเนื่อง กวดขันวินัยเรื่องการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่อาจสร้างความเสียหายกับภาพลักษณ์องค์กร
ขอให้บริโภคข้อมูลข่าวสารด้วยความระมัดระวังหากมีข้อสงสัยให้สอบถามจากหน่วยทหารในพื้นที่ใกล้เคียงหรือสอบถามหมายเลข 1341 ตลอด 24 ชั่วโมง
   
 ****************************************************************************


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น